หากพูดถึงเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระงานบ้านในปัจจุบัน โรบอทดูดฝุ่นถือเป็นตัวช่วยอันดับต้น ๆ ที่หลายบ้านต่างให้ความสนใจ ด้วยความสามารถในการทำความสะอาดแบบอัตโนมัติ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาและแรงกายมากเกินไป อีกทั้งยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้เราจะไม่อยู่บ้าน เมื่อตลาดโรบอทดูดฝุ่นเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีตัวเลือกมากมายให้เลือกสรร บทความนี้จึงได้รวบรวม 10 แบรนด์โรบอทดูดฝุ่นยอดนิยม ที่โดดเด่นทั้งในด้านแรงดูด น้ำหนักเครื่อง และประสิทธิภาพแบตเตอรี่ แต่ละรุ่นล้วนมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป นอกจากการแนะนำแบรนด์ชั้นนำแล้ว เรายังได้รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการเลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาตามลักษณะพื้นที่ภายในบ้าน เทคนิคการเลือกเครื่องให้เหมาะกับพื้นผิวประเภทต่าง ๆ รวมถึงข้อควรรู้ที่จะช่วยให้คุณใช้งานโรบอทดูดฝุ่นได้อย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อให้การทำความสะอาดเป็นเรื่องง่ายและสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น
หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับสินค้า
- พลังในการดูดฝุ่น: แรงดูดคือสิ่งสำคัญมากที่สุด เพราะไม่ว่าจะมีฟีเจอร์เจ๋งแค่ไหน แต่ถ้าดูดไม่สะอาดก็เท่านั้น เราจึงให้ความสำคัญกับแรงดูดเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะความสามารถในการเก็บฝุ่นละออง เศษผง และเส้นผมบนพื้นผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นแข็งหรือพรมหนาๆ
- น้ำหนักที่พอเหมาะ: ถึงจะเป็นหุ่นยนต์ที่ทำงานอัตโนมัติ แต่เราก็ต้องยกหรือเคลื่อนย้ายมันบ้างเป็นครั้งคราว น้ำหนักที่พอดีจึงสำคัญมาก เพราะจะทำให้สะดวกเวลาต้องยกขึ้นบันได ย้ายระหว่างชั้น หรือเก็บเข้าที่ โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุหรือคนที่อยู่คนเดียว
- แบตเตอรี่อึด ทนทาน: เรื่องแบตเตอรี่นี่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะไม่มีใครอยากได้หุ่นยนต์ที่ต้องคอยชาร์จบ่อยๆ หรือแบตหมดกลางคันตอนทำความสะอาด เราจึงเลือกรุ่นที่มีแบตเตอรี่อึด สามารถทำความสะอาดได้จบทั้งบ้านในการชาร์จเพียงครั้งเดียว และมีระบบประหยัดพลังงานที่ฉลาด
- เสียงจากผู้ใช้จริง: นอกจากการทดสอบของเรา เรายังให้ความสำคัญกับประสบการณ์จริงจากผู้ใช้ทั่วประเทศ ทั้งรีวิวออนไลน์ คะแนนความพึงพอใจ และความคิดเห็นจากผู้ที่ใช้งานมาระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งข้อดีและข้อควรระวัง
- ระบบอัจฉริยะที่ใช้งานง่าย: หุ่นยนต์ดูดฝุ่นสมัยนี้ต้องฉลาดพอที่จะทำงานได้เองโดยที่เราไม่ต้องมานั่งควบคุมตลอด ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเวลาทำความสะอาดล่วงหน้า ระบบกลับเข้าแท่นชาร์จอัตโนมัติเมื่อแบตใกล้หมด และการกลับมาทำความสะอาดต่อในจุดที่ค้างไว้หลังชาร์จเสร็จ
- ควบคุมผ่านมือถือได้สะดวก: ในยุคที่ทุกอย่างสามารถจัดสรรเสร็จสรรพผ่านมือถือ การมีแอปที่ใช้งานง่ายถือเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงดูว่าแต่ละรุ่นมีแอปที่เสถียร ใช้งานสะดวก และมีฟีเจอร์ครบครันแค่ไหน ทั้งการสั่งงาน ดูแผนที่การทำความสะอาด และการแจ้งเตือนต่างๆ
- ดีไซน์และความคงทน: หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ดีต้องมีขนาดกะทัดรัด เข้าซอกเข้ามุมได้ดี และที่สำคัญคือต้องทนทาน ไม่พังง่าย เพราะต้องทำงานหนักและอาจต้องเจอการกระแทกบ้างเป็นธรรมดา เราจึงดูทั้งวัสดุที่ใช้ การประกอบ และการรับประกันที่ให้มา
- ความคุ้มค่าในระยะยาว: แน่นอนว่าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นไม่ใช่ของถูก เราจึงต้องดูให้ดีว่าแต่ละรุ่นให้อะไรกลับมาคุ้มกับเงินที่เสียไปบ้าง ทั้งประสิทธิภาพ ฟีเจอร์ อายุการใช้งาน และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
10 โรบอทดูดฝุ่น ที่ดีที่สุด
1. Roborock S8 Pro Ultra
Roborock S8 Pro Ultra เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นระดับไฮเอนด์ที่มีแรงดูดสูงสุด 6000 Pa, ระบบนำทางแบบสามมิติ และแท่นชาร์จแบบหลายฟังก์ชัน
แรงดูด | 6000 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 23.6 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 180 นาที |
ข้อดี
- แรงดูดสูงถึง 6000 Pa และมีระบบนำทาง Reactive 3D สำหรับการหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ
- มีระบบขัดถูพื้น VibraRise 2.0 ที่ให้ประสิทธิภาพการขัดถูสูงและแท่น RockDock สำหรับฟังก์ชันหลายอย่าง
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานถึง 180 นาที รองรับการใช้งานในบ้านขนาดใหญ่
ข้อควรพิจารณา
- มีน้ำหนักเครื่องค่อนข้างหนักที่ 23.6 กิโลกรัม อาจลำบากในการย้ายตำแหน่ง
- ต้องใช้พื้นที่เพื่อตั้งแท่น RockDock Ultra ที่มีขนาดใหญ่และมีระบบฟังก์ชันหลายอย่าง
Roborock S8 Pro Ultra เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับแรงดูดสูงถึง 6000 Pa และระบบนำทาง Reactive 3D ที่ใช้เซนเซอร์สแกนสิ่งของแบบสามมิติ ช่วยให้เดินหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ มีระบบขัดถูพื้น VibraRise 2.0 ที่ขัดถูด้วยความเร็ว 3,000 ครั้งต่อนาที และยังมาพร้อมแท่น RockDock ที่เป็นได้ทั้งแท่นชาร์จ, เก็บฝุ่น, เติมน้ำ, ซักผ้าถู และเป่าแห้งอัตโนมัติ
Roborock S8 Pro Ultra มีความจุกล่องเก็บฝุ่น 0.35 ลิตร แบตเตอรี่อายุการใช้งานยาวนานถึง 180 นาที และมีน้ำหนักเครื่อง 23.6 กิโลกรัม โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับแท่น RockDock Ultra ซึ่งมีระบบต่างๆ มากมาย เช่น ระบบซักผ้าถู, ระบบดูดทิ้งฝุ่น, ระบบเติมน้ำ, ระบบชำระล้างแท่นชาร์จ และระบบเป่าแห้งด้วยลมร้อน ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแลรักษาเครื่องและแท่นชาร์จเอง เหมาะสำหรับบ้านที่มีขนาดใหญ่หรือต้องดูดฝุ่นถูพื้นบ่อยๆ
ราคาของ Roborock S8 Pro Ultra อยู่ที่ 35,999 บาท ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผลกับคุณสมบัติและประสิทธิภาพการทำงานที่ได้ อีกทั้งยังได้รับการการันตีด้วยการทดสอบระดับสากลจากโรโบร็อคและบริษัทฯ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจหากกำลังมองหาหุ่นยนต์ดูดฝุ่นระดับไฮเอนด์
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
Roborock S8 Pro Ultra เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยแรงดูด 6000 Pa และระบบนำทางแบบสามมิติ พร้อมด้วยแท่น RockDock Ultra ที่ให้ความสะดวกสบายในการชาร์จและดูแลรักษาอย่างอัตโนมัติ เหมาะสำหรับบ้านขนาดใหญ่ที่ต้องการความสะอาดอย่างล้ำสมัยและไม่ต้องการดูแลรักษาอย่างยุ่งยาก
2. Xiaomi Robot Vacuum X10+
Xiaomi Robot Vacuum X10+ เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้นอัจฉริยะที่มีแรงดูดสูง 4000PA และระบบนำทาง AI พร้อมฟังก์ชันครบครันและแท่นชาร์จอัจฉริยะ
แรงดูด | 4000 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 3.80 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 120 นาที |
ข้อดี
- มีแรงดูดสูงถึง 4000PA และระบบนำทางด้วยกล้อง AI สำหรับความแม่นยำในการทำความสะอาด
- ระบบถูพื้นด้วยผ้าม็อบกลมคู่และแท่นชาร์จอัจฉริยะที่มีฟังก์ชันครบครันเพิ่มความสะดวก
- สามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชัน ให้ความสะดวกในการใช้งาน
ข้อควรพิจารณา
- ถังเก็บน้ำขนาดเล็ก 80 มิลลิลิตร อาจต้องเติมน้ำบ่อยครั้งสำหรับพื้นที่ใหญ่
- น้ำหนักเครื่อง 3.8 กิโลกรัม อาจทำให้การย้ายตำแหน่งใช้งานไม่สะดวกสำหรับบางคน
Xiaomi Robot Vacuum X10+ เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุ่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ Xiaomi ที่มาพร้อมกับแรงดูดสูงสุดถึง 4000PA สามารถนำทางได้อย่างแม่นยำด้วยกล้อง AI และเซนเซอร์ 3 มิติ ร่วมกับเลเซอร์ ช่วยให้สแกนสิ่งของได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีระบบถูพื้นด้วยผ้าม็อบกลมคู่ที่หมุนด้วยแรงกดสูง
X10+ มีความจุกล่องเก็บฝุ่น 350 มิลลิลิตร และถังเก็บน้ำ 80 มิลลิลิตร แบตเตอรี่ความจุ 5200mAh ใช้งานต่อเนื่องได้นาน 120 นาที น้ำหนักเครื่อง 3.8 กิโลกรัม มาพร้อมแท่นชาร์จอัจฉริยะที่มีฟังก์ชันครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบทำความสะอาดและอบแห้งผ้าม็อบอัตโนมัติ ระบบเติมน้ำและเก็บฝุ่นอัตโนมัติ รวมถึงยังสามารถควบคุมผ่านแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย
จุดเด่นของ Xiaomi X10+ คือการออกแบบที่ใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกสบายสูงสุด ในราคา 19,999 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับประสิทธิภาพและฟีเจอร์ต่างๆ ที่ได้รับ เหมาะสำหรับบ้านขนาดกลางถึงใหญ่ ที่ต้องการหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ทำงานได้อย่างอัจฉริยะและมีประสิทธิภาพสูง
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
Xiaomi Robot Vacuum X10+ นับเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมด้วยแรงดูดสูง 4000PA และระบบนำทาง AI สำหรับความแม่นยำสูงในการทำความสะอาด พร้อมแท่นชาร์จอัจฉริยะที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งานและการดูแลรักษา ทำให้เหมาะสำหรับบ้านขนาดใหญ่ที่ต้องการหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ทรงประสิทธิภาพและอัจฉริยะในราคา 19,999 บาท
3. Dreame Bot L20 Ultra
Dreame Bot L20 Ultra เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นพรีเมียมที่มีแรงดูดสูงสุดในตลาด 7,000 Pa พร้อมระบบถูพื้นอัจฉริยะและแท่นชาร์จที่มีฟีเจอร์ครบครัน
แรงดูด | 7000 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 3.70 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 260 นาที |
ข้อดี
- แรงดูดสูงถึง 7,000 Pa ช่วยกำจัดฝุ่นและเศษสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีระบบถูพื้นอัจฉริยะและแท่นชาร์จที่มีฟีเจอร์ครบครัน ทำให้การทำความสะอาดสะดวกสบายมากขึ้น
- แบตเตอรี่อายุการใช้งานยาวนาน 260 นาที สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องในพื้นที่ขนาดใหญ่
ข้อควรพิจารณา
- ราคาค่อนข้างสูง อาจไม่เหมาะกับงบประมาณทุกคน
- ต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับตั้งแท่นชาร์จอเนกประสงค์ที่มีขนาดใหญ่
Dreame Bot L20 Ultra เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นรุ่นพรีเมียม ที่มาพร้อมกับแรงดูดสูงถึง 7,000 Pa ซึ่งเป็นแรงดูดที่สูงที่สุดในตลาดขณะนี้ มีระบบถูพื้นอัจฉริยะ MopExtend ที่สามารถขยายออกไปถูพื้นตามขอบและมุมห้องได้ดี และยังมีฟีเจอร์กำจัดผ้าม็อบโดยอัตโนมัติ เมื่อตรวจพบพรมที่มีความสูงมากกว่า 10.5 มม.
L20 Ultra ใช้ระบบ CleanGenius ในการตรวจจับคราบสกปรกที่พื้น ทำความสะอาดในจุดที่สกปรกซ้ำโดยอัตโนมัติ รวมถึงใช้กล้อง AI และไฟ LED เพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์แปลกใหม่อย่างแท่นชาร์จอเนกประสงค์ ที่มีทั้งระบบล้างทำความสะอาดและอบแห้งผ้าม็อบอัตโนมัติ ระบบเติมน้ำและน้ำยาทำความสะอาด รวมถึงระบบเก็บฝุ่นอัตโนมัติ
Dreame Bot L20 Ultra มีความจุแท้งค์น้ำสะอาด 4.5 ลิตร แท้งค์น้ำเสีย 4.0 ลิตร พร้อมถุงเก็บฝุ่นความจุ 3.2 ลิตร ซึ่งสามารถจุฝุ่นได้นานสูงสุด 75 วัน แบตเตอรี่ 6,400mAh ใช้งานต่อเนื่องได้ 260 นาทีในโหมดเงียบ โดยตัวเครื่องมีขนาด 35 x 35 x 10.4 ซม. น้ำหนัก 3.7 กก. ราคาอยู่ที่ 35,990 บาท เหมาะสำหรับบ้านพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ต้องการหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพและฟีเจอร์ครบครัน
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
Dreame Bot L20 Ultra เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับบ้านพื้นที่ขนาดใหญ่ด้วยแรงดูดที่สูงที่สุดในตลาดและระบบถูพื้นอัจฉริยะ นอกจากนี้ยังมีแท่นชาร์จอเนกประสงค์ที่ให้ความสะดวกสบายสูงสุดในการดูแลรักษาเครื่องและผ้าม็อบ
4. AUTOBOT LAZER 6
AUTOBOT LAZER 6 เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นระดับพรีเมียมที่ให้ประสิทธิภาพการทำความสะอาดอย่างล้ำลึกด้วยระบบ Professional Mop หลากหลายฟังก์ชัน และระบบอบแห้งผ้าถูอัตโนมัติ
แรงดูด | 3200 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 4.10 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 240 นาที |
ข้อดี
- รวมฟังก์ชันการถูพื้นยอดนิยม 4 แบบไว้ในเครื่องเดียว เพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาด.
- มีระบบอบแห้งผ้าถูอัตโนมัติ เพื่อป้องกันเชื้อรา ช่วยให้การดูแลรักษาง่ายขึ้
- ใช้เทคโนโลยี Quick Mapping ในการสร้างแผนที่ขณะทำงาน ทำให้เริ่มต้นทำความสะอาดได้ทันที
ข้อควรพิจารณา
- น้ำหนักตัวเครื่องค่อนข้างหนัก (4.1 กก.) อาจเคลื่อนย้ายได้ไม่สะดวก
- ต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการตั้งแท่นชาร์จและระบบอบแห้ง
AUTOBOT LAZER 6 เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมระบบ Professional Mop ซึ่งรวมฟังก์ชันการถูพื้นยอดนิยม 4 แบบไว้ในเครื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการใช้น้ำอิเล็กโทรไลต์ออแกนิค, ถูพื้นรูปตัว Y, ขัดพื้นแบบสั่นสะเทือน และถูพื้นซ้ำ 2 รอบ เพื่อความสะอาดอย่างล้ำลึก นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Mop Lift ที่ยกม็อบสูงขึ้นได้ถึง 8 มม. เมื่อต้องเดินผ่านพรม
AUTOBOT LAZER 6 มีถังเก็บน้ำสะอาดและน้ำเสียแยกจากกัน ความจุรวม 4 ลิตร พร้อมระบบอบแห้งผ้าถูโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันเชื้อรา มีเซนเซอร์ TOF ถึง 8 ตัว ช่วยให้เดินหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้แม่นยำ และใช้เทคโนโลยี Quick Mapping ในการสร้างแผนที่ขณะทำงาน เพื่อเริ่มต้นทำความสะอาดได้ทันที
โดยสรุป AUTOBOT LAZER 6 มีแรงดูด 3,200 Pa, กล่องเก็บฝุ่นขนาด 450 มล., ใช้งานต่อเนื่องได้นาน 240 นาทีต่อการชาร์จ 1 ครั้ง, น้ำหนักตัวเครื่อง 4.1 กก., ขนาดเครื่อง 353 x 353 x 96.5 มม., ระดับเสียงเพียง 72 dB และมีระยะเวลารับประกัน 1 ปี ราคาอยู่ที่ 21,990 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหุ่นยนต์ดูดฝุ่นประสิทธิภาพสูงในระดับพรีเมียม แต่ราคายังคุ้มค่า
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
AUTOBOT LAZER 6 เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยระบบถูพื้นแบบมืออาชีพและการอบแห้งผ้าถูอัตโนมัติ ช่วยให้การทำความสะอาดเป็นเรื่องง่ายและไม่ต้องกังวลเรื่องเชื้อรา พร้อมราคาที่คุ้มค่ากับฟีเจอร์ครบครันที่ได้รับ
5. Lydsto Robot G2
Lydsto Robot G2 เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่น 4 in 1 ที่มีฟีเจอร์ครบครัน ตั้งแต่การดูดฝุ่นแรงสูง ถูพื้นปรับไหลของน้ำได้ พร้อมเทคโนโลยีฆ่าเชื้อในถังเก็บฝุ่น
แรงดูด | 3000 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 9.70 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 120 นาที |
ข้อดี
- ฟังก์ชัน 4 in 1 ช่วยให้การทำความสะอาดครบวงจรตั้งแต่ดูดฝุ่น, ถูพื้น, ปรับการไหลของน้ำ, และฆ่าเชื้อโรคด้วยเทคโนโลยี Ozone
- ออกแบบมาให้เข้าทำความสะอาดใต้เตียงและเฟอร์นิเจอร์ได้ง่ายด้วยความสูงเพียง 7.9 ซม.
- รองรับการเชื่อมต่อกับแอป Mi Home สำหรับควบคุมการทำงานจากระยะไกล, เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
ข้อควรพิจารณา
- ถังเก็บฝุ่นและถังเก็บน้ำมีขนาดค่อนข้างเล็ก (310 มล. และ 250 มล.) อาจต้องการการเทและทำความสะอาดบ่อยครั้งในพื้นที่ใช้งานขนาดใหญ่
- แม้จะใช้งานได้นานสูงสุด 2 ชั่วโมง แต่ความจุแบตเตอรี่ 2600 mAh อาจไม่เพียงพอสำหรับบ้านขนาดใหญ่หรือการทำความสะอาดแบบเต็มรูปแบบ
Lydsto Robot G2 เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่น 4 in 1 ที่มาพร้อมฟังก์ชันการทำงานครบครัน ทั้งดูดฝุ่นด้วยแรงดูด 3000 Pa, ถูพื้นพร้อมปรับการไหลของน้ำได้ 3 ระดับ, ถังเก็บฝุ่นแยกขนาด 3 ลิตร และเทคโนโลยี Ozone ฆ่าเชื้อโรคในถังเก็บฝุ่น
จุดเด่นของ Lydsto G2 คือการออกแบบที่ใส่ใจรายละเอียด ด้วยถังเก็บฝุ่นความจุ 310 มล. และถังเก็บน้ำ 250 มล. แบบ 2 in 1 ใช้งานสะดวก ตัวเครื่องมีความสูงเพียง 7.9 ซม. สามารถเข้าทำความสะอาดใต้เตียงและเฟอร์นิเจอร์ได้ง่าย ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ความจุ 2600 mAh ใช้งานต่อเนื่องได้นานสูงสุด 2 ชั่วโมง มีฟีเจอร์กลับมาชาร์จเองโดยอัตโนมัติ และเชื่อมต่อแอป Mi Home เพื่อควบคุมการทำงานได้จากระยะไกล
โดยสรุป Lydsto Robot G2 มีน้ำหนักตัวเครื่อง 9.7 กก. ขนาดเครื่อง 350 x 350 x 79 มม. ขนาดถังเก็บฝุ่น 276 x 217 x 300 มม. ในกล่องประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, แท่นชาร์จ, อุปกรณ์เสริม และคู่มือการใช้งาน ในราคาเพียง 8,990 บาท ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาหุ่นยนต์ดูดฝุ่นสมรรถนะดี ในงบประมาณไม่เกิน 10,000 บาท
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
Lydsto Robot G2 นับเป็นตัวเลือกที่ดีด้วยฟังก์ชันการทำงาน 4 in 1 ที่ครบครันและเทคโนโลยี Ozone ในการฆ่าเชื้อโรค รวมถึงการออกแบบที่เหมาะกับการใช้งานในทุกพื้นที่ภายในบ้าน ในราคาที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้ง่าย
6. ROIDMI EVE Plus
ROIDMI EVE Plus เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นพรีเมียมจาก Xiaomi ที่มาพร้อมฟังก์ชันครบครัน รวมถึงแท่นชาร์จอัจฉริยะที่สามารถดูดฝุ่นและซักผ้าถูโดยอัตโนมัติ พร้อมพลังดูดสูงและรองรับการสั่งงานด้วยเสียง
แรงดูด | 3000 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 3.60 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 2.30 ชั่วโมง |
ข้อดี
- แท่นชาร์จอเนกประสงค์ช่วยให้การชาร์จ, ดูดฝุ่นจากตัวเครื่อง, ซักและอบผ้าถูพื้นสะดวกและอัตโนมัติ
- มีพลังดูดสูงถึง 3000 Pa และผ้าถูพื้นแบบคู่ที่ขัดถูได้ด้วยแรงกดสูง, เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาด
- รองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant และ Alexa, เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
ข้อควรพิจารณา
- ราคาอาจจะสูงไป สำหรับบางคนที่มีงบประมาณจำกัด
- กล่องเก็บฝุ่นขนาดเพียง 300 มล. อาจต้องการการเทฝุ่นบ่อยครั้งในการใช้งานที่ต่อเนื่อง
ROIDMI EVE Plus เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นพรีเมียมจากแบรนด์ในเครือ Xiaomi ที่มาพร้อมกับแท่นชาร์จอเนกประสงค์ ซึ่งนอกจากชาร์จไฟแล้ว ยังมีฟังก์ชันดูดฝุ่นจากตัวเครื่อง รวมถึงซักและอบแห้งผ้าถูโดยอัตโนมัติ บนแท่นชาร์จมีหน้าจอ LED แสดงสถานะการทำงาน เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน
ตัวเครื่องมีพลังดูดสูงถึง 3000 Pa พร้อมผ้าถูพื้นแบบคู่ที่สามารถขัดถูพื้นด้วยแรงกดสูงถึง 12 นิวตัน กล่องเก็บฝุ่นขนาด 300 มล. และแบตเตอรี่อายุการใช้งาน 2 ชั่วโมง 30 นาที EVE Plus รองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant และ Alexa อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานมากขึ้น
สำหรับสเปกโดยรวม EVE Plus มีน้ำหนักตัวเครื่อง 3.6 กก. ขนาดหุ่นยนต์ 350 x 350 x 98 มม. และขนาดแท่นชาร์จ 358 x 350 x 175 มม. เหมาะสำหรับใช้ทำความสะอาดพื้นที่ 250 ตร.ม. หรือบ้านขนาดกลางถึงใหญ่ สามารถข้ามสิ่งกีดขวางสูง 20 มม. ได้อย่างง่ายดาย ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 27,350 บาท อาจจะสูงกว่าหุ่นยนต์ทำความสะอาดทั่วไป แต่ก็มาพร้อมกับฟังก์ชันพรีเมียมที่ช่วยอำนวยความสะดวกและลดภาระในการดูแลรักษา เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพเหนือระดับ
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
ROIDMI EVE Plus ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเนื่องจากมาพร้อมกับฟีเจอร์พรีเมียม เช่น แท่นชาร์จที่มีหลายฟังก์ชันรวมถึงซักและอบผ้าถูอัตโนมัติ และมีพลังดูดสูงพร้อมผ้าถูพื้นแบบคู่ ช่วยลดภาระในการทำความสะอาดและเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานอย่างมาก
7. Mister Robot Hybrid Map Pro
Mister Robot Hybrid Map Pro เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีฟังก์ชันครบครันและระบบสร้างแผนที่อัจฉริยะ พร้อมแท่นชาร์จที่ดูดฝุ่นเข้าถังเก็บได้โดยอัตโนมัติ
แรงดูด | 3000 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 3.60 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 120 นาที |
ข้อดี
- มีแรงดูดสูงถึง 3,000 Pa และสามารถปรับโหมดการทำงานได้ 4 แบบ, เหมาะกับการทำความสะอาดทุกพื้นผิว
- แท่นชาร์จมีถังเก็บฝุ่นในตัวความจุสูง ช่วยลดความถี่ในการทิ้งฝุ่นและป้องกันฝุ่นอุดตัน
- ระบบเซนเซอร์สร้างแผนที่ห้องอัจฉริยะ, ช่วยให้การทำความสะอาดครอบคลุมและไม่พลาดจุดใด
ข้อควรพิจารณา
- ด้วยระยะเวลารับประกันเพียง 1 ปี อาจทำให้ผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับความทนทานในระยะยาว
- แม้จะมีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้งานได้นาน 120 นาที แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ต้องการการทำความสะอาดหลายรอบในหนึ่งครั้ง
Mister Robot Hybrid Map Pro เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุ่นใหม่ล่าสุดปี 2023 ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันครบครัน ทั้งดูดฝุ่น ถูพื้น สร้างแผนที่ และทำความสะอาดตัวเองได้ มีแรงดูดสูงสุดถึง 3,000 Pa สามารถปรับโหมดการทำงานได้ 4 แบบ เพื่อให้เหมาะกับพื้นผิวและสิ่งสกปรกที่แตกต่างกัน
จุดเด่นของรุ่นนี้คือแท่นชาร์จที่มีถังเก็บฝุ่นในตัว ความจุสูงถึง 3,500 มล. พร้อมระบบดูดฝุ่นเข้าถังโดยอัตโนมัติ ช่วยป้องกันปัญหาฝุ่นอุดตันในตัวเครื่อง ส่วนกล่องเก็บฝุ่นของตัวเครื่องสามารถจุได้ 300 มล. และมีกล่องน้ำสำหรับถูพื้นจุได้ 250 มล.
Hybrid Map Pro ใช้ระบบเซนเซอร์ในการสร้างแผนที่ห้อง เพื่อวางแผนการทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่พลาดจุดใดไป แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนอายุการใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 120 นาที สามารถเชื่อมต่อและสั่งงานผ่านแอป HYBRID SERIES ได้อย่างง่ายดาย ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 12,900 บาท และมีระยะเวลารับประกันตัวเครื่อง 1 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพการทำความสะอาดในระดับสูง แต่ราคายังไม่แพงจนเกินไป
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
Mister Robot Hybrid Map Pro ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะมีคุณสมบัติครบครันทั้งดูดฝุ่น ถูพื้น สร้างแผนที่อัตโนมัติ และมีแท่นชาร์จที่ดูดฝุ่นเข้าถังเก็บโดยอัตโนมัติ ช่วยลดปัญหาฝุ่นอุดตันและเพิ่มความสะดวกในการทำความสะอาด ทั้งยังมีราคาที่เข้าถึงได้และรับประกันตัวเครื่อง 1 ปี
8. iRobot Roomba i2
iRobot Roomba i2 เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย ทำให้การทำความสะอาดบ้านเป็นเรื่องง่ายและไม่ต้องกังวลเรื่องขนสัตว์เลี้ยงพันแปรง อำนวยความสะดวกด้วยระบบนำทางอัจฉริยะและสามารถควบคุมผ่านแอปได้
แรงดูด | 6000 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 3.18 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 90 นาที |
ข้อดี
- แปรงยางคู่เฉพาะช่วยลดปัญหาขนสัตว์เลี้ยงพันแปรงและเพิ่มประสิทธิภาพการดูดฝุ่น
- เทคโนโลยี Dirt Detect ช่วยตรวจจับและทำความสะอาดพื้นที่ที่สกปรกอย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบนำทาง iAdapt 2.0 วางแผนการทำความสะอาดและครอบคลุมพื้นที่ได้ถึง 150 ตร.ม.
ข้อควรพิจารณา
- ไม่มีฟังก์ชันถูพื้น, จำกัดความสามารถในการทำความสะอาดแบบครบวงจร
- แบตเตอรี่อายุการใช้งาน 90 นาทีอาจไม่เพียงพอสำหรับบ้านขนาดใหญ่หรือพื้นที่การทำความสะอาดที่กว้างขวาง
iRobot Roomba i2 เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มาพร้อมกับแปรงยางคู่เฉพาะของ iRobot ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดฝุ่นได้ดียิ่งขึ้น ปรับตัวเข้ากับพื้นผิวที่แตกต่างกันได้ดี พร้อมยังช่วยลดปัญหาขนสัตว์เลี้ยงพันแปรง มีเทคโนโลยี Dirt Detect ที่จะตรวจจับบริเวณที่สกปรกและดูดฝุ่นซ้ำจนกว่าจะสะอาด
Roomba i2 มีระบบนำทาง iAdapt 2.0 ช่วยให้วางแผนการทำความสะอาดเป็นระเบียบ ครอบคลุมพื้นที่ได้ถึง 150 ตร.ม. โดยจะเดินกลับไปชาร์จเองเมื่อแบตเตอรี่อ่อน และกลับมาทำความสะอาดต่อหลังชาร์จเต็ม สามารถสั่งงานผ่านแอป iRobot Home ได้อย่างง่ายดาย แต่รุ่นนี้ไม่มีฟังก์ชันถูพื้น
สเปคโดยรวมของ Roomba i2 คือ มีแรงดูดสูงสุด 6000 Pa, กล่องเก็บฝุ่นขนาด 0.40 ลิตร, น้ำหนักเครื่อง 3.18 กก. และแบตเตอรี่อายุการใช้งาน 90 นาที ราคาอยู่ที่ 19,900 บาท เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นยนต์ดูดฝุ่นประสิทธิภาพสูงจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง iRobot แต่ไม่จำเป็นต้องมีฟีเจอร์พิเศษอย่างการถูพื้น
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
iRobot Roomba i2 เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการทำความสะอาดบ้านอย่างมีประสิทธิภาพด้วยแปรงยางคู่เฉพาะที่ตอบโจทย์ปัญหาขนสัตว์เลี้ยงและเทคโนโลยีตรวจจับความสกปรก พร้อมระบบนำทางอัจฉริยะที่ครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างและการควบคุมที่สะดวกผ่านแอป เหมาะสำหรับทุกครัวเรือนที่ต้องการความง่ายในการดูแลความสะอาด
9. Airbot A510
Airbot A510 เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่น 3-in-1 ที่มีความสามารถในการดูดฝุ่น กวาด และถูพื้นในเครื่องเดียว พร้อมดีไซน์บางเฉียบและเทคโนโลยีอัจฉริยะในราคาที่คุ้มค่า
แรงดูด | 2500 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 2.50 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 120 นาที |
ข้อดี
- ฟังก์ชัน 3-in-1 ช่วยให้สามารถดูดฝุ่น, กวาด, และถูพื้นได้ในเครื่องเดียว, เพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลา
- ดีไซน์ที่บางเพียง 7 ซม. ช่วยให้เข้าถึงและทำความสะอาดได้ทุกมุมของบ้าน
- ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 4,999 บาท ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากับฟีเจอร์ที่ได้รับ
ข้อควรพิจารณา
- ถังเก็บน้ำขนาด 200 มล. อาจไม่เพียงพอสำหรับการถูพื้นพื้นที่ใหญ่ในหนึ่งครั้ง
- การรับประกันไม่ครอบคลุมการชำรุดจากการใช้งานผิดวิธี อาจก่อให้เกิดปัญหาหากมีการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง
Airbot A510 เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่น 3-in-1 ที่สามารถดูดฝุ่น กวาด และถูพื้นได้ในเครื่องเดียว มาพร้อมกับแรงดูดสูงสุด 2500 Pa และแปรงคู่ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดได้มากกว่า 50% มีถังเก็บฝุ่นขนาด 0.60 ลิตร และถังเก็บน้ำขนาด 200 มล. สำหรับใช้ถูพื้น
ด้วยดีไซน์ที่บางเพียง 7 ซม. ทำให้ A510 สามารถเข้าทำความสะอาดใต้เตียง โซฟา หรือเฟอร์นิเจอร์เตี้ยๆ ได้อย่างง่ายดาย มีเซนเซอร์ตรวจจับขอบ ป้องกันการตกเวลาเจอขอบต่างระดับ ผู้ใช้สามารถสั่งงานผ่านแอป Tuya Smart เพื่อกำหนดโหมดการทำความสะอาด ตั้งเวลา และควบคุมการทำงานได้จากระยะไกล โดยมีโหมดให้เลือกถึง 4 แบบ
Airbot A510 มีน้ำหนักเครื่อง 2.5 กก. แบตเตอรี่ความจุ 2600 mAh ใช้งานต่อเนื่องได้นานสูงสุด 2 ชั่วโมง และมีระดับเสียงเงียบ ไม่รบกวนการพักผ่อน ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 4,999 บาท ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับใครที่กำลังมองหาหุ่นยนต์ดูดฝุ่นสเปกดี ราคาไม่แพง โดยมีระยะเวลารับประกันความเสียหายของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และมอเตอร์หลัก แต่ไม่ครอบคลุมการชำรุดจากการใช้งานผิดวิธี
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
Airbot A510 เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าด้วยความสามารถ 3-in-1 ในการดูดฝุ่น กวาด และถูพื้นได้ในเครื่องเดียว มาพร้อมกับแรงดูดสูงและดีไซน์ที่บางเพียง 7 ซม. ช่วยให้เข้าถึงได้ทุกมุมของบ้านได้อย่างง่ายดาย ทำให้เหมาะสมกับทุกครัวเรือนที่ต้องการความสะดวกและประสิทธิภาพในการทำความสะอาด
10. TEFAL X-PLORER SERIE 45 RG8275WH
TEFAL X-PLORER SERIE 45 RG8275WH เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงพร้อมฟังก์ชันถูพื้น เซนเซอร์ 3 ชั้นสำหรับนำทางอัจฉริยะและการควบคุมผ่านแอปบนมือถือ
แรงดูด | 1200 Pa |
น้ำหนักเครื่อง | 3.66 kg |
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ | 150 นาที |
ข้อดี
- เซนเซอร์ 3 ชั้นช่วยนำทางและหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ, ลดโอกาสในการชนหรือตกจากที่สูง
- มาพร้อมฟังก์ชันถูพื้นและแผ่นถูพื้นไมโครไฟเบอร์, เพิ่มความสะดวกในการทำความสะอาดพื้นทุกประเภท
- การรับประกันคุณภาพถึง 2 ปีและการสนับสนุนอะไหล่นานถึง 10 ปี มั่นใจในคุณภาพและการบริการหลังการขาย
ข้อควรพิจารณา
- แรงดูดสูงสุดที่ 1200 Pa อาจไม่เพียงพอสำหรับการดูดฝุ่นหรือเศษขยะขนาดใหญ่บางชนิด
- ขนาดแท้งก์น้ำเพียง 110 มล. อาจต้องการเติมน้ำบ่อยครั้งในการทำความสะอาดพื้นที่ขนาดใหญ่
TEFAL X-PLORER SERIE 45 RG8275WH เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ออกแบบมาเพื่อการทำความสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเซนเซอร์ 3 ชั้น ได้แก่ เซนเซอร์อินฟราเรด, เซนเซอร์ป้องกันการชน และเซนเซอร์ตรวจจับพื้นต่างระดับ ช่วยให้นำทางและหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ
นอกจากการดูดฝุ่นแล้ว RG8275WH ยังมาพร้อมฟังก์ชันถูพื้นในตัว ด้วยแท้งก์น้ำขนาด 110 มล. และแผ่นถูพื้นไมโครไฟเบอร์ 2 ผืน ให้คุณเลือกสลับใช้ได้ตามต้องการ มีโหมดการทำความสะอาดให้เลือก 3 แบบ รวมถึงสามารถควบคุมการทำงานผ่านแอป Tefal Robots บนมือถือได้อย่างสะดวก ใช้งานได้กับทุกพื้นผิว แม้แต่พรมหนาไม่เกิน 15 มม.
RG8275WH มีแรงดูดสูงสุด 1200 Pa พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 2200mAh อายุการใช้งานต่อเนื่องได้นานสูงสุด 150 นาที หรือครอบคลุมพื้นที่ 150 ตร.ม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง น้ำหนักเครื่อง 3.66 กก. ขนาดเครื่อง 325 x 80 มม. (เส้นผ่านศูนย์กลาง x ความสูง) กล่องเก็บฝุ่นความจุ 0.44 ลิตร ให้คุณถอดล้างทำความสะอาดได้ง่าย
ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 6,290 บาท พร้อมรับประกันคุณภาพถึง 2 ปี และมีอะไหล่ให้เปลี่ยนหรือซ่อมแซมได้นานถึง 10 ปี จึงมั่นใจได้ถึงคุณภาพที่คุ้มค่าคุ้มราคา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหุ่นยนต์ดูดฝุ่นคุณภาพดีจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Tefal
ทำไมเราถึงชอบสินค้านี้ ?
TEFAL X-PLORER SERIE 45 RG8275WH มอบประสิทธิภาพการทำความสะอาดที่เหนือกว่าด้วยเซนเซอร์ 3 ชั้นสำหรับนำทางอัจฉริยะและฟังก์ชันถูพื้น รวมถึงการรับประกันคุณภาพนานถึง 2 ปี และบริการหลังการขายเป็นเวลา 10 ปี ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับทุกครัวเรือนที่ต้องการหุ่นยนต์ดูดฝุ่นคุณภาพดีที่ใช้งานง่ายและมีความทนทาน
มาดูกัน! วิธีเลือกโรบอทดูดฝุ่นให้เข้ากับบ้านของเรา
หุ่นยนต์ดูดฝุ่นกำลังเปลี่ยนโฉมการทำความสะอาดบ้านไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยความสามารถในการประหยัดเวลาและแรงงาน ทำให้เจ้าหุ่นยนต์นี้กลายเป็นผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ในบ้านยุคใหม่ แต่การเลือกหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ใช่ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์สวยหรือราคาน่าคบหา เรามาดูกันว่าอะไรบ้างที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
1. พลังดูดที่ตอบโจทย์การใช้งาน
พลังดูดถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะสำหรับบ้านที่มีพรมหรือพื้นผิวที่ฝุ่นเกาะติดง่าย อย่างใต้โซฟาหรือซอกมุมที่เข้าถึงยาก หุ่นยนต์ที่มีพลังดูดสูงจะจัดการกับฝุ่นละออง ไรฝุ่น และเศษผงได้อย่างหมดจด แต่สำหรับพื้นผิวเรียบอย่างกระเบื้องหรือไม้ปาร์เก้ พลังดูดระดับกลางก็เพียงพอ และยังช่วยประหยัดพลังงานได้อีกด้วย
ข้อแนะนำเพิ่มเติม: เลือกรุ่นที่มีพลังดูดสูงสำหรับบ้านที่มีพรม หรือเลือกระดับกลางสำหรับพื้นผิวเรียบ เพื่อการทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
2. น้ำหนักที่ลงตัว
น้ำหนักของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นส่งผลโดยตรงต่อความคล่องตัวในการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อต้องเคลื่อนย้ายไปทำความสะอาดในพื้นที่ต่างๆ หรือบ้านที่มีหลายชั้น น้ำหนักที่พอเหมาะจะช่วยให้โรบอทเคลื่อนที่ได้คล่องแคล่ว และเข้าถึงพื้นที่แคบๆ อย่างใต้เตียงหรือเฟอร์นิเจอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อแนะนำเพิ่มเติม: มองหารุ่นที่มีน้ำหนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักที่ลงตัวระหว่างความแข็งแรงและความคล่องตัว
3. แบตเตอรี่ที่ทนทาน
แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยให้หุ่นยนต์ทำความสะอาดได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นในแต่ละรอบ โดยไม่ต้องกลับไปชาร์จบ่อยๆ นวัตกรรมล่าสุดยังมาพร้อมระบบชาร์จอัตโนมัติ ที่จะพาหุ่นยนต์กลับไปชาร์จเองเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด
ข้อแนะนำเพิ่มเติม: เลือกรุ่นที่มีแบตเตอรี่อยู่ได้นานกว่า 90 นาที และมาพร้อมระบบชาร์จอัตโนมัติ เพื่อความสะดวกสบายสูงสุด
4. ระบบเซ็นเซอร์ล้ำสมัย
เทคโนโลยีเซ็นเซอร์เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้หุ่นยนต์ทำงานได้ดีขึ้น ด้วยความสามารถในการหลบหลีกสิ่งกีดขวางและป้องกันการตกจากที่สูง เช่น บันได นอกจากนี้ รุ่นล่าสุดยังมาพร้อมระบบวางแผนเส้นทางอัจฉริยะ ที่ช่วยให้การทำความสะอาดเป็นไปอย่างมีระบบและครอบคลุมทุกพื้นที่
ข้อแนะนำเพิ่มเติม: มองหารุ่นที่มีระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะและระบบวางแผนเส้นทางแบบ AI เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือชั้น
5. ระบบจัดเก็บและกรองฝุ่นระดับพรีเมียม
ถังเก็บฝุ่นขนาดใหญ่ไม่เพียงช่วยลดความถี่ในการทำความสะอาด แต่ยังต้องมาพร้อมระบบกรองประสิทธิภาพสูงอย่าง HEPA filter ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงหรือผู้อาศัยที่มีภูมิแพ้ ด้วยความสามารถในการกรองอนุภาคขนาดเล็กและป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อแนะนำเพิ่มเติม: เลือกรุ่นที่มีถังเก็บฝุ่นความจุไม่น้อยกว่า 500 มล. และมาพร้อมระบบกรอง HEPA เพื่อสภาพแวดล้อมที่สะอาดปลอดภัยบกรอง HEPA เพื่อสภาพแวดล้อมที่สะอาดปลอดภัย
สิ่งที่ควรคำนึงก่อนซื้อ | รายละเอียด |
---|---|
พลังดูดที่ตอบโจทย์การใช้งาน | เลือกพลังดูดสูงสำหรับบ้านที่มีพรม และพลังดูดระดับกลางสำหรับพื้นเรียบ เพื่อการทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพ |
น้ำหนักที่ลงตัว | น้ำหนักประมาณ 3-5 กิโลกรัมเหมาะสมสำหรับความคล่องตัวและแข็งแรง |
แบตเตอรี่ที่ทนทาน | แบตเตอรี่ควรใช้งานได้นานกว่า 90 นาที และมีระบบชาร์จอัตโนมัติ |
ระบบเซ็นเซอร์ล้ำสมัย | เซ็นเซอร์ที่ช่วยหลบสิ่งกีดขวาง ป้องกันการตก และระบบวางแผนเส้นทางอัจฉริยะ |
ระบบจัดเก็บและกรองฝุ่นระดับพรีเมียม | ถังเก็บฝุ่นความจุไม่น้อยกว่า 500 มล. พร้อมระบบกรอง HEPA สำหรับการกรองฝุ่นระดับสูง |
วิธีการรักษาและดูแลอายุการใช้งานแบตเตอรี่
เรื่องของแบตเตอรี่นี่สำคัญมาก เพราะถ้าเราดูแลดีๆ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นของเราก็จะอยู่กับเราไปได้นานๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องแบตเตอรี่เสื่อมเร็ว แถมยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย เพราะไม่ต้องซื้อแบตเตอรี่ใหม่บ่อยๆ แล้วจะดูแลยังไงดีล่ะ? ไม่ยากเลย! มาดูวิธีการดูแลแบบง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้กัน
ชาร์จแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี
การชาร์จแบตเตอรี่เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ เพราะถ้าชาร์จผิดวิธี เซลล์แบตเตอรี่อาจเสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้ วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดจนเกลี้ยง แล้วค่อยชาร์จใหม่ ควรเริ่มชาร์จเมื่อแบตเตอรี่เหลือประมาณ 20% และไม่จำเป็นต้องชาร์จจนเต็ม 100% ทุกครั้ง โดยเฉพาะหากไม่ได้ใช้งานทันทีหลังจากชาร์จเสร็จ การชาร์จในระดับ 80-90% ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานประจำวันและช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ในระยะยาว
เคล็ดลับ: หากโรบอทของคุณมีระบบชาร์จอัตโนมัติ ให้ปล่อยให้เครื่องกลับแท่นชาร์จเองเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด และหลีกเลี่ยงการเสียบปลั๊กชาร์จทิ้งไว้นานเกินความจำเป็น เช่น ข้ามคืน เพื่อป้องกันการสะสมความร้อนในแบตเตอรี่
เก็บในที่ที่เหมาะสม
การเก็บในสถานที่ที่เหมาะสมมีผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่โดยตรง ควรเก็บในห้องที่มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุด หลีกเลี่ยงการวางหุ่นยนต์ในที่ที่ร้อนจัด เช่น ใกล้หน้าต่างที่โดนแดด หรือในบริเวณที่เย็นจัด เช่น ห้องแอร์ที่ปรับอุณหภูมิต่ำเกินไป เพราะการเก็บในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น
เคล็ดลับ: ตั้งแท่นชาร์จในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อช่วยระบายความร้อน อีกทั้งหลีกเลี่ยงการวางในที่ที่มีความชื้นสูงหรือมีฝุ่นเยอะ
หมั่นตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่
การตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่สำคัญมาก หากคุณเริ่มสังเกตว่าหุ่นยนต์ใช้งานได้นานน้อยลงหลังจากชาร์จเต็ม นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ ควรรีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ก่อนที่ประสิทธิภาพของหุ่นยนต์จะลดลงจนกระทบต่อการทำความสะอาด
เคล็ดลับ: คุณตรวจสอบแบตเตอรี่ตามคำแนะนำของผู้ผลิต เช่น ทุก 6 เดือน หรือทุกปี หากต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ให้เลือกแบตเตอรี่แท้จากผู้ผลิต เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
การดูแลรักษา | คำอธิบาย |
---|---|
ชาร์จแบตเตอรี่อย่างถูกวิธี | ชาร์จเมื่อแบตเตอรี่เริ่มหมด และหลีกเลี่ยงการชาร์จต่อเนื่องเกินความจำเป็น |
เก็บเครื่องในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม | เก็บโรบอทในที่ที่มีอุณหภูมิปกติ หลีกเลี่ยงที่ร้อนหรือเย็นเกินไป |
ตรวจสอบประสิทธิภาพแบตเตอรี่ | ตรวจสอบความสามารถในการเก็บประจุของแบตเตอรี่เป็นประจำ |
เทคนิคการเลือกโรบอทดูดฝุ่นสำหรับพื้นผิวต่าง ๆ
สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องดูก็คือความเหมาะสมกับพื้นผิวภายในบ้านของเรานั่นเอง เพราะแต่ละพื้นผิวนั้นมีลักษณะเฉพาะตัว ต้องการการดูแลที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะเรื่องของแรงดูดที่เหมาะสม เพื่อให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพสูงสุด และไม่ทำให้พื้นผิวเสียหาย มาดูกันว่าแต่ละพื้นผิวควรเลือกหุ่นยนต์ดูดฝุ่นแบบไหนดี
1. พื้นกระเบื้อง ทำความสะอาดง่ายแต่ต้องใส่ใจรายละเอียด
พื้นกระเบื้องเป็นพื้นผิวที่ดูแลไม่ยากและมีความทนทานสูง ปัญหาหลักที่มักเจอคือฝุ่นละอองและคราบสกปรกที่ติดตามร่องกระเบื้อง ซึ่งอาจเป็นจุดที่ทำความสะอาดได้ยาก การเลือกหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีแรงดูดระดับปานกลางถึงสูงจะช่วยให้สามารถดูดฝุ่นและกำจัดคราบในร่องกระเบื้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งหุ่นยนต์ที่มีฟังก์ชันถูพื้นก็เป็นตัวช่วยที่ดีในการรักษาความสะอาดและความเงางามของกระเบื้อง
เคล็ดไม่ลับ: เลือกรุ่นที่มีแรงดูดไม่น้อยกว่า 2,000 Pa และถ้ามีฟังก์ชันถูพื้นแบบเปียก จะช่วยทำให้กระเบื้องสะอาดหมดจดยิ่งขึ้น
2. พื้นพรม งานยากที่ต้องการพลังดูดสูง
พื้นพรมเป็นพื้นผิวที่ซับซ้อน เพราะฝุ่นละออง เศษผง และขนสัตว์มักฝังลึกอยู่ในเส้นใยพรม การเลือกหุ่นยนต์ดูดฝุ่นสำหรับพื้นพรมจึงต้องคำนึงถึงแรงดูดที่สูงพอสมควร เพื่อดึงสิ่งสกปรกเหล่านี้ออกมา นอกจากนี้ การมีแปรงหมุนที่ออกแบบมาสำหรับพื้นพรมโดยเฉพาะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาด หากบ้านของคุณมีสัตว์เลี้ยง การเลือกรุ่นที่สามารถดูดขนสัตว์ได้ดีจะช่วยลดปัญหาขนสัตว์ติดพรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรลอง: เลือกรุ่นที่มีแรงดูดตั้งแต่ 2,500-3,000 Pa และมาพร้อมแปรงที่ออกแบบมาเพื่อดึงเศษผงออกจากเส้นใยพรมได้อย่างหมดจด
3. พื้นไม้ พื้นผิวละเอียดอ่อนที่ต้องดูแลพิเศษ
พื้นไม้เป็นพื้นผิวที่มีความสวยงามและเพิ่มบรรยากาศอบอุ่นให้กับบ้าน แต่ก็เป็นพื้นผิวที่ต้องการความใส่ใจเป็นพิเศษ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่เหมาะกับพื้นไม้ควรมีแรงดูดระดับปานกลางเพียงพอสำหรับการดูดฝุ่นโดยไม่สร้างรอยขีดข่วนบนพื้นผิว การเลือกหุ่นยนต์ที่มีแปรงนุ่มหรือแปรงซิลิโคนจะช่วยปกป้องพื้นไม้ได้ดียิ่งขึ้น และควรเลือกหุ่นยนต์ที่มีระบบตรวจจับสิ่งกีดขวางและหลีกเลี่ยงการชนกระแทกเพื่อป้องกันพื้นไม้เสียหาย
ทำอย่างนี้ดีกว่า: เลือกรุ่นที่มีแรงดูดในช่วง 1,500-2,000 Pa พร้อมแปรงนุ่มและเซ็นเซอร์ป้องกันการชน เพื่อปกป้องพื้นไม้จากรอยขีดข่วน
ประเภทพื้นผิว | ความต้องการแรงดูด | คำแนะนำ |
---|---|---|
พื้นกระเบื้อง | ปานกลางถึงสูง | เลือกโรบอทที่มีแรงดูดสูงเพื่อความสะอาดที่ล้ำลึก |
พรม | สูง | ต้องการแรงดูดสูง เพื่อขจัดฝุ่นและขนสัตว์ที่ฝังลึก |
พื้นไม้ | ปานกลาง | ใช้ประจุแปรงที่อ่อนนุ่ม เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน |
ใช้เครื่องดูดฝุ่นมือถือคู่กับโรบอทดูดฝุ่น เพิ่มประสิทธิภาพความสะอาด
ใครที่มีโรบอทดูดฝุ่นอยู่แล้ว แต่ยังรู้สึกว่าการทำความสะอาดบางจุดยังไม่สมบูรณ์แบบ ลองมาดูวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาดด้วยการใช้เครื่องดูดฝุ่นมือถือเสริมกันดูนะ เริ่มโดยปล่อยให้โรบอทดูดฝุ่นทำงานในพื้นที่โล่งๆ ก่อน เพราะโรบอทจะทำงานได้ดีในพื้นที่กว้างและเข้าถึงง่าย แต่อย่างที่รู้กันว่าโรบอทมักจะมีข้อจำกัดในการเข้าถึงมุมแคบๆ หรือใต้เฟอร์นิเจอร์ที่มีช่องว่างน้อย หลังจากที่โรบอททำงานเสร็จแล้ว เราจะใช้เครื่องดูดฝุ่นมือถือเข้ามาช่วยจัดการกับจุดที่เข้าถึงยาก ไม่ว่าจะเป็นมุมห้อง ซอกตู้ ใต้โต๊ะ หรือบริเวณที่มีสิ่งกีดขวางต่างๆ สำหรับใครที่กำลังมองหาเครื่องดูดฝุ่นมือถือยี่ห้อไหนดี แนะนำให้เลือกรุ่นที่มีน้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด จะได้ถือใช้งานได้สะดวกและเข้าถึงทุกซอกทุกมุมได้ง่าย นอกจากนี้ ควรเลือกเครื่องที่มีหัวดูดหลากหลายแบบ เพราะพื้นผิวแต่ละประเภทต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน เช่น หัวแปรงนุ่มสำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้ หัวดูดแคบสำหรับซอกมุม หรือหัวดูดพิเศษสำหรับที่นอนและโซฟา การมีอุปกรณ์เสริมที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ยกระดับการทำความสะอาดด้วยน้ำยาดันฝุ่น
อีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยให้บ้านสะอาดหมดจดยิ่งขึ้นก็คือการใช้น้ำยาดันฝุ่นร่วมกับโรบอทดูดฝุ่น วิธีนี้จะช่วยจัดการกับฝุ่นละอองที่มองไม่เห็นและฝังลึกในพื้นผิวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มจากการฉีดพ่นน้ำยาดันฝุ่นลงบนพื้นในปริมาณที่พอเหมาะ น้ำยาจะทำหน้าที่ดึงดูดฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกให้ลอยตัวขึ้นมา ทำให้โรบอทดูดฝุ่นสามารถจัดการกับสิ่งสกปรกได้ง่ายขึ้น เมื่อเปิดใช้งานโรบอท มันจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการดักจับฝุ่นละอองที่ลอยตัวขึ้นมา
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการเลือกโรบอทดูดฝุ่นที่มีระบบกรองฝุ่นคุณภาพสูง เพราะจะช่วยดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ดียิ่งขึ้น ทำให้อากาศในบ้านสะอาดบริสุทธิ์ สำหรับใครที่สนใจอยากรู้ว่าน้ำยาดันฝุ่นยี่ห้อไหนดี แนะนำให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการ การเลือกใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดให้เหมาะกับพื้นผิวและลักษณะการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในระยะยาว อีกทั้งยังได้ผลลัพธ์การทำความสะอาดที่น่าพอใจ ทำให้บ้านน่าอยู่และสะอาดสะอ้านอย่างที่ต้องการ
การเลือกโรบอทดูดฝุ่นที่เหมาะสมกับบ้านไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณรู้จักเทคนิคและมีข้อมูลที่เพียงพอ บ้านของคุณจะสะอาด และจะมีเวลามากขึ้นสำหรับการทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่คุณรัก จากข้อมูลที่ได้นำเสนอในบทความนี้ เราได้แนะนำ 10 แบรนด์ โรบอทดูดฝุ่น ที่ดีที่สุด โดยพิจารณาจากแรงดูด น้ำหนักเครื่อง และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ เพื่อให้การเลือกซื้อเครื่องไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป และได้ตัวช่วยในการรักษาความสะอาดพื้นบ้านที่มีประสิทธิภาพสูง
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอข้อมูลเสริมที่จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการเลือกโรบอทดูดฝุ่นให้เหมาะกับพื้นที่และลักษณะของบ้าน ได้แก่ เทคนิคในการเลือกตามประเภทพื้นผิว การรู้จักและดูแลรักษาแบตเตอรี่เพื่อยืดอายุการใช้งาน และการเลือกโรบอทให้เหมาะกับขนาดพื้นที่ในบ้าน ทั้งหมดนี้จะช่วยให้บ้านของคุณสะอาด และช่วยรักษาความสะอาดพื้นบ้านได้อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งบางรุ่นยังสามารถใช้ฟังก์ชันเสริม เช่น ควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน กำหนดเวลาทำงาน ด้วยโรบอทดูดฝุ่นที่คุณเลือกมาอย่างดีที่สุดได้อีกด้วย การเลือกโรบอทดูดฝุ่นที่เหมาะสมจะช่วยให้บ้านของคุณสะอาดอย่างต่อเนื่อง ลดเวลาที่คุณต้องใช้ในการทำความสะอาดด้วยตนเอง
คำถามที่พบบ่อย
1. ทำไมต้องพิจารณาแรงดูดเมื่อเลือกโรบอทดูดฝุ่น?
แรงดูดเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งบอกถึงความสามารถในการทำความสะอาดของโรบอทดูดฝุ่น โรบอทที่มีแรงดูดสูงสามารถขจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกได้อย่างล้ำลึก ช่วยให้บ้านสะอาดมากขึ้น
2. น้ำหนักเครื่องมีผลอย่างไรต่อการใช้งานโรบอทดูดฝุ่น?
น้ำหนักเครื่องที่เหมาะสมจะทำให้การย้ายและจัดเก็บโรบอทดูดฝุ่นง่ายขึ้น โรบอทที่มีน้ำหนักเบายังเคลื่อนที่ได้ง่ายและสะดวกในการใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ ของบ้าน
3. อายุการใช้งานแบตเตอรี่มีความสำคัญอย่างไรกับโรบอทดูดฝุ่น?
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่นาน ช่วยให้โรบอทดูดฝุ่นสามารถทำความสะอาดได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ลดความจำเป็นในการชาร์จบ่อยครั้ง ทำให้การทำความสะอาดเป็นเรื่องสะดวกและไม่ถูกขัดจังหวะ
4. ควรเลือกโรบอทดูดฝุ่นอย่างไรให้เหมาะกับพื้นผิวต่าง ๆ ในบ้าน?
การเลือกโรบอทดูดฝุ่นควรพิจารณาจากประเภทของพื้นผิวในบ้าน เช่น พื้นกระเบื้องควรใช้โรบอทที่มีแรงดูดสูง เพื่อความสะอาดที่ล้ำลึก ส่วนพื้นพรมก็ต้องการโรบอทที่มีแรงดูดสูงเพื่อขจัดฝุ่นและขนสัตว์ที่ฝังลึก และพื้นไม้ควรใช้โรบอทที่มีแปรงอ่อนนุ่ม เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน การเลือกโรบอทที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำความสะอาดเป็นเรื่องง่ายขึ้น